หลายคนคุ้นชินกับคำว่า จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ที่มีคุณสมบัติ เป็นฮอร์โมนเร่งโตให้กับพืช แต่รู้หรือไม่ว่า มีอะไรมากกว่านั้น
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง หรือ Photosynthetic Bacteria เป็นหนึ่งใน 4 ชนิดจุลินทรีย์ที่นิยมนำมาใช้ในภาคเกษตร โดยทั้ง 4 ชนิดประกอบไปด้วย จุลินทรีย์อีเอ็ม EM, จุลินทรีย์หน่อกล้วย, จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง และ จุลินทรีย์จาวปลวก
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงคืออะไร
มันคือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก เป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม คุณสมบัติเด่นของเจ้านี่ คือ มันจะทำหน้าที่นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในดินและในน้ำมาใช้ประโยชน์ รวมถึงสามารถย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้มีขนาดเล็กลง และด้วยความสามารถนี้ ทำให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงมีประโยชน์อย่างมหาศาล เพราะช่วยให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น พืชสามารถดูดซึมอินทรีย์วัตถุที่ถูกย่อยสลายได้เร็วขึ้น ทำให้ปริมาณการใช้ปุ๋ยลง ในขณะเดียวกัน พืชก็เจริญเติบโตมากขึ้นด้วย
เจ้าจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงตัวนี้ หากจัดให้อยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์ EM จะมีคุณสมบัติ ช่วยสังเคราะห์สารอินทรีย์และสร้างความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน แต่หากนำมันมาอยู่ในกลุ่มจุลินทรีย์หลักที่ช่วยการเพาะปลูก มันจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ที่มีประโยชน์สูง พวกมันสามารถพบได้ตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติ รวมถึงในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ทั่วไป แต่การมีอยู่ของพวกมัน ไม่ได้มีเยอะมาก แต่มีอยู่กระจัดกระจายไปตามที่ต่าง ๆ ดังนั้น เมื่อมีประโยชน์ เราควรจะนำมันมาใช้ประโยชน์ หรือขยายจำนวนให้มันมีเยอะขึ้น เพื่อประโยชน์ในหลาย ๆ ด้าน
ประโยชน์ของจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
โดยส่วนใหญ่แล้ว ถือเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุ และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช โดยประโยชน์หลัก ๆ จะมีหลายประการ เช่น
- เป็นตัวช่วยเร่งปฎิกิริยาในการย่อยสลายทำให้เกิดปุ๋ยในดินเยอะขึ้น ช่วยให้พืชได้รับปุ๋ยมากขึ้น
- ช่วยในการตรึงไนโตรเจนในดิน ให้พืชนำไปใช้ได้อย่างเหมาะสม ดินไม่สูญเสียไนโตรเจนไปโดยเปล่าประโยชน์
- ใช้งานร่วมกับปุ๋ย ทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยลง 30 – 50%
- เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดกระบวนการรีไซเคิล คาร์บอนฯ และ สารจำพวกซัลเฟอร์ ซึ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของต้นไม้
- ทำให้รากของพืชแข็งแรง สามารถหาอาหารได้มากขึ้น ตัวจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเอง เมื่อตายไปยังให้โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ มากมาย
- พืชมีความแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงได้ดี
- ฉีดพ่นในคอกสัตว์ เชื่อช่วยลดกลิ่นเหม็นของมูล และสิ่งปฏิกูลทั้งหลาย
วิธีทำหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง
เตรียมอุปกรณ์การทำ เริ่มจาก
- น้ำสะอาด (ไม่ควรใช้น้ำประปาที่มีคลอรีน)
- ไข่ไก่สด 1 ฟอง สามารถผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงได้ 2 ลิตร
- ถ้วย สำหรับใส่ไข่
- ขวดน้ำ ขนาดตามต้องการ
- ผงชูรส / เครื่องดื่มชูกำลัง / น้ำปลา เพื่อช่วยเร่งการเติบโตของจุลินทรีย์ มีหรือไม่ก็ได้
- ถังผสม อาจเป็นกะละมัง หรือถังน้ำ ที่สะอาด
วิธีการผสม เพื่อเร่งการเกิดจุลินทรีย์
- นำไข่ไก่สด หรืออาจเป็นไข่เป็ด หรือไข่สัตว์ชนิดใดก็ได้ มาตอกและตีให้แตก เหมือนการทำไข่เจียวนั่นแหละ
- ใส่สารเร่งการเติบโตของจุลินทรีย์ เช่น ผงชูรส เครื่องดื่มชูกำลัง หรือน้ำปลา ตามอัตราส่วน ไข่ไก่สด 1 ฟอง ต่อสารเร่ง 1 ช้อนชา จะใส่ทั้ง 3 อย่างก็ได้ อย่างละ 1 ช้อนชา
- นำน้ำสะอาด ใส่ลงในถังน้ำ กะปริมาณตามอัตราส่วน น้ำ 1 ลิตร ต่อไข่ไก่ที่ผสมหัวเชื้อแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากัน
- เทน้ำที่ผสมไข่ไก่และหัวเชื้อแล้ว ใส่ขวด ปิดฝาให้สนิท ควรใช้พลาสติกปิดปากขวดก่อนปิดฝาทับไปอีกที เพื่อป้องกันไม่ให้อากาศหรือเชื้อโรคเข้าไปได้
- นำขวดที่ได้ ไปวางไว้กลางแจ้ง ที่แดดส่องถึง หรือ เอาไปตากแดดนั่นแหละ
- รอจนกว่าสีในขวดจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
- หากสีน้ำในขวดเปลี่ยนเป็นสีอื่น นอกจากสีแดง เช่น ม่วง หรือดำ ให้คิดไปก่อนว่าอาจจะเสีย หรือมีเชื้อก่อโรค ควรทิ้งและทำลาย โดยปกติจะต้องมีสีชมพู เขียว หรือแดงเข้ม
ข้อสังเกตุ ทำไมทำหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงแล้ว ไม่แดง 100%
- หากใช้น้ำประปา สีสุดท้ายที่ได้ อาจเป็นสีเขียว สีขวา หรือแดงเล็กน้อย ทั้งนี้ อาจเพราะจุลินทรีย์เจริญเติบโตได้ไม่เต็มที่ อาจมีคลอรีน หรือสารที่ยับยังการเติบโตของสิ่งมีชีวิตอื่น
- น้ำธรรมชาติ ที่ผ่านการกรองให้สะอาดแล้ว เช่น ในสระ ในบ่อปลา สีจะออกแดงเข้มภายใน 5-7 วัน
- น้ำบาดาล สีอาจจะแดง หรือขาวขุ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสิ่งเจือปนในน้ำ แคลเซียมและฟอสเฟต ทำให้น้ำกลายเป็นด่าง ไม่เหมาะกับการเติบโตของจุลินทรีย์เท่าที่ควร
สรุปว่า สีที่ได้จากการผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ขึ้นอยู่กับน้ำที่นำมาใช้ แนะนำว่าควรเป็นน้ำจากบ่อธรรมชาติ ที่ผ่านการกรองสิ่งสกปรกต่าง ๆ มาแล้ว จะดีที่สุด เพราะจะมีเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่เดิมเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ ทำให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงที่ได้ แข็งแรง และมีการเจริญเติบโตดี เวลานำมาผลิตเป็นหัวเชื้อ มักจะได้ผลเร็วกว่าการใช้น้ำจากแหล่งอื่น ๆ
จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง มีอันตรายหรือไม่
จากข้อมูลที่ได้รับ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง สามารถเจริญเติบได้ ทั้งในแบบใช้แสง และไม่ใช้แสง และที่มีเกษตรกรอ้างว่า ใช้แล้วเป็นสาเหตุของการเกิดโรคในพืช ก็ไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่เคยพบรายงานใดที่ระบุว่า จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงเป็นสาเหตุในการเกิดโรค ทั้งต่อเกษตรกร และพืชผัก ซึ่งนักวิจัยของญี่ปุ่น ถือเป็นชาติแรกที่ค้นพบว่า นอกจากจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจะมีประโยชน์กับพืชแล้ว ยังสามารถผสมอาหารเพื่อใช้เลี้ยงสัตว์ได้ โดยไม่มีโทษอีกด้วย
แต่พบว่า เชื้อที่ก่อโรคสามารถพบได้ตามธรรมชาติทั่วไป เพราะในธรรมชาติ มีจุลินทรีย์หลายชนิดที่สร้าง pigment เม็ดสีในเซลล์ได้ เช่น ยีสต์ รา รวมถึงแบคทีเรีย ถึงจะไม่มีกระบวนการสังเคราะห์แสง แต่เซลล์ก็ยังแดงได้ นี่จึงเป็นสาเหตุที่หลายคนกลัว ว่าการใช้จุลินทรีย์ที่ไม่ได้ผ่านการผลิตอย่างถูกวิธี จะมีการปนเปื้อนของเชื้อที่ก่อโรคตั้งแต่คราวแรก และอาจทำให้เกิดโทษมากกว่าได้ประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน ดังนั้น ส่วนผสมในการผลิต จึงต้องสะอาดและเชื่อใจได้ว่า ปลอดภัยจริง ๆ
วิธีใช้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงให้ได้ผลที่สุด
ใช้ได้บ่อย ไม่มีอันตรายต่อพืช สัตว์ และสิ่งแวดล้อม แต่อาจจะเหม็นเน่า หากใช้บ่อยเกินความจำเป็น ทั้งนี้ จากอัตราการสำรวจและเปรียบเทียบ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ได้ผลดีที่สุด ควรใช้ตามอัตราส่วนดังนี้
- จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 100 ซีซี ผสมน้ำ 20 ลิตร ผสมและฉีดพ่นพืชผักทางใบ ฉีดสัปดาห์ละ 1 ครั้ง
- จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 100 ซีซี ผสมน้ำ 10 ลิตร ฉีดพ่นลงดิน บำรุงรากพืช สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
- ไม่แนะนำให้ใช้หัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ที่ไม่ผ่านการผสมน้ำ ทำการฉีดพ่นหรือรดแปลงผัก เนื่องจากไม่คุ้มและทำให้เปลืองค่าใช้จ่าย
- ปริมาณหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 1 ลิตร สามารถผสมน้ำได้น้อยสุด 50 ลิตร สำหรับบำรุงดิน
การขยายหัวเชื้อจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง ทำได้โดยการนำหัวเชื้อจากขวดเดิมมาขยายใหม่ซ้ำได้เรื่อย ๆ ดังนี้
- หัวเชื้อเดิม 1 ช้อนโต๊ะ
- ไข่ไก่ 1 ช้อนโต๊ะ
- น้ำสะอาด 1 ลิตร
กระบวนการเหมือนการผลิตหัวเชื้อทุกขั้นตอน แต่การขยายหัวเชื้อนี้ ระยะเวลาจะน้อยกว่า เพราะใช้หัวเชื้อเดิมเป็นส่วนผสมเพิ่มเข้าไปอีกส่วน ผสมแล้วนำขวดไปตากแดดจนเกิดสี ก็สามารถใช้ได้บ่อย ตามที่ต้องการได้แล้ว
ขอบคุณที่มาของข้อมูลจาก
Best Infomal
การเกษตรอินทรีย์เบื้องต้น
เกษตรอินทรีย์ ส่วนใหญ่เราเข้าใจกันง่ายๆ ว่าเป็นการทำเกษตรแบบไม่ใช้สารเคมี และสารเคมีที่ว่า คือสารที่ถูกสกัดมาจากห้องทดลอง
อ่านบทความนี้ต่อHow to
ปลูกข้าวโพดฝักอ่อนเพื่อสร้างรายได้
แนวทางการทำเกษตรอินทรีย์รูปแบบใหม่ หากอยากได้ประโยชน์สูงสุด ไม่ควรทำแบบมั่ว และไร้ทิศทาง
อ่านบทความนี้ต่อOrchid information
กล้วยไม้เล็กที่สุดในโลก
กล้วยไม้ที่มีขนาดเล็กที่สุดในโลก Orchid กล้วยไม้ถือเป็นหนึ่งในพรรณไม้ที่งดงามที่สุดพันธุ์หนึ่ง มากมายไปด้วยสายพันธุ์ แต่เมื่อปี 2009 ได้มีการค้นพบ ดอกกล้วยไม้ เล็กที่สุดในโลกโดยบังเอิญ โดยนักนิเวศวิทยาเป็นผู้ค้นภบในประเทศเอกวาดอร์
อ่านบทความนี้ต่อHow to
กล้วยด่างฟลอริด้า การเลี้ยงและดูแลให้สวย
กล้วยด่างฟลอริด้า กล้วยป่าด่าง ๆ ที่ดาราสาวอย่าง ญาญ่า อุรัสยา เสปอร์บันด์ ชอบถ่ายลง IG
อ่านบทความนี้ต่อAgricultural articles
Organic Farming – A recent technology in cultivation
There are various forms of cultivation but the recent technique used is Organic farming
อ่านบทความนี้ต่อOrganic Vegie
ผักแบบไหนที่เรียกว่า ปลอดสารพิษ
ไม่รู้เหมือนกันว่า หลายๆ คนจะเคยสังเกตไหม เวลาที่จะเลือกซื้อผักและผลไม้ต่างๆ ตามห้างสรรพสินค้า
อ่านบทความนี้ต่อ